ระบบการศึกษาอังกฤษและระบบการศึกษาอเมริกาต่างกันอย่างไร?
โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่จะนำหลักสูตรการศึกษาของ 2 ประเทศมาใช้ ซึ่งก็คือ ระบบการศึกษาอังกฤษและระบบการศึกษาอเมริกา ซึ่งเชื่อว่ายังมีคุณพ่อคุณแม่และน้อง ๆ หลายคนยังสับสนกับการเรียนการสอนในสองหลักสูตรนี้อยู่ และไม่รู้ว่าควรเลือกเรียนหลักสูตรไหนดี เราจึงขอมาสรุปความต่างของทั้งสองหลักสูตรนี้ให้ได้รู้กัน
ความแตกต่างในการแบ่งระดับชั้นของนักเรียน
ในการแบ่งระดับชั้นของนักเรียนในโรงเรียนนานาชาติ ทั้งในหลักสูตรอังกฤษและหลักสูตรอเมริกา มีวิธีการแบ่งระดับชั้นของนักเรียนที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกได้ ดังต่อไปนี้
ระบบการศึกษาอังกฤษ
สำหรับระบบการศึกษาอังกฤษ จะแบ่งช่วงชั้นการเรียนรู้ (Key Stage) ออกเป็น 6 ช่วง และใช้คำเรียกระดับชั้นว่า “Year” โดยแบ่งออกเป็น ดังนี้
- ช่วงชั้น 0 (Key Stage 0 Nursery-Reception) สำหรับเด็กเล็ก อายุ 4-6 ปี
- ช่วงชั้น 1 (Key Stage 1 Year 1-Year 2) อายุ 5-6 ปี
- ช่วงชั้น 2 (Key Stage 2 Year 3-Year 6) อายุ 7-10 ปี
- ช่วงชั้น 3 (Key Stage 3 Year 7-Year 9) อายุตั้งแต่ 11-13 ปี
- ช่วงชั้น 4 (Key Stage 4 Year 10-Year 11) อายุ 14-15 ปี
- ช่วงชั้น 5 (Key Stage 5 Year 12-Year 13) อายุตั้งแต่ 16-17 ปี
ระบบการศึกษาอเมริกา
ส่วนระบบการศึกษาอเมริกา จะแบ่งระดับการศึกษาออกเป็นระดับชั้นการเรียนรู้ใน 4 ช่วง โดยจะใช้คำว่า “Grade” ในแต่ละช่วงปี
- ระดับอนุบาล Kindergarten (KG) อายุ 4-6 ปี
- ระดับประถมศึกษา Elementary School (Grades 1-5) อายุ 6-11 ปี
- มัธยมศึกษาตอนต้น Middle School (Grades 6-8) อายุ 11-14 ปี
- มัธยมศึกษาตอนปลาย High School (Grades 9-12) อายุ 14-18 ปี
รูปแบบการเรียนการสอน
โรงเรียนนานาชาติในไทย ทั้งในหลักสูตรอังกฤษและหลักสูตรอเมริกา มีรูปแบบการเรียนการสอน ทั้งในส่วนที่เหมือนและแตกต่างกัน ซึ่งแต่ละหลักสูตรจะมีรายละเอียดดังนี้
ระบบการศึกษาอังกฤษ
ระบบการศึกษาในหลักสูตรอังกฤษ จะเน้นการเรียนรู้ทางวิชาการควบคู่ไปกับการให้เด็กได้ค้นหาตนเอง (Self-Study) ซึ่งจะมีวิชาเรียนประมาณ 8-9 วิชา ตามแต่ละโรงเรียนจะเป็นผู้จัด แต่จะมีวิชาหลักซึ่งเป็นวิชาบังคับอย่างน้อย 3 วิชา คือ
- ภาษาอังกฤษ
- คณิตศาสตร์
- วิทยาศาสตร์
นอกจากวิชาหลักเหล่านี้ ที่เหลืออีกประมาณ 5-6 วิชา จะเป็นวิชาเลือก
ระบบการศึกษาอเมริกา
ระบบการศึกษาในหลักสูตรอเมริกา จะเน้นการเรียนรู้ทางวิชาการผ่านการทำกิจกรรม โดยให้เด็ก ๆ เริ่มทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ในห้องเพื่อเรียนรู้การเข้าสังคม จากนั้นจึงค่อยทำการเรียนการสอน ทั้งในรายวิชาที่เกี่ยวกับตัวเลขและการอ่าน รวมถึงวิชาต่าง ๆ อีก 6 วิชา คือ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคมศาสตร์ วิชาภาษาศาสตร์ วิชาศิลปะ และวิชาพลศึกษา
ระบบการศึกษาเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย
ระบบการศึกษาอังกฤษ
ในส่วนของหลักสูตรเพื่อการเตรียมความพร้อมก่อนการเข้าเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยในระบบการศึกษาอังกฤษ จะแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ
ช่วงชั้น 4 (Key Stage 4 Year 10-Year 11)
คือในช่วงอายุ 14-16 ปี ซึ่งในระดับนี้ ผู้เรียนต้องทำการสอบ IGCSE โดยมีทั้งหมด 70 วิชา โดยสามารถแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มวิชา คือ
- กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ เช่น Physical Science, Physics Science-Combined, Agriculture, Biology, Chemistry และ Environmental Management
- กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ เช่น Mathematics, Additional Mathematics และ Cambridge International Mathematics
- กลุ่มวิชาทักษะภาษาอังกฤษ ได้แก่ English language and literature
- กลุ่มวิชาภาษาศาสตร์ เช่น Thai, English (First or Second Language), Japanese, Korean, German, French, Arabic, Italian, Russian, Turkish, Hindi, Greek และ Indonesian
- กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เช่น History, Business Studies, Travel and Tourism, Geography, Religious Studies, Economics และ Sociology
- กลุ่มวิชาทักษะวิชาชีพ เช่น Accounting, Art & Design, Music, Accounting, Business Studies, Drama, Enterprise, Physical Education, Computer Science, Design & Technology, Food & Nutrition, Information & Communication และ Enterprise
ผลการสอบ IGCSE จะแบ่งเป็น 7 ระดับ คือ Grade A-G โดยผู้ที่สอบได้ Grade C ขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน
ช่วงชั้น 5 (Key Stage 5 Year 12-Year 13)
เป็นช่วงที่นักเรียนจะมีอายุตั้งแต่ 16-17 ปี เรียกอีกชื่อว่า Sixth Form โดยนักเรียนต้องเลือกสอบระหว่าง IB Diploma และ A-Level ซึ่งมีรายละเอียดของการสอบแต่ละรูปแบบ ดังต่อไปนี้
การสอบ IB Diploma Programme
สำหรับการสอบของหลักสูตร IB Diploma Programme มีวิชาให้เลือกสอบ 6 กลุ่มวิชา คิดเป็นวิชาละ 7 คะแนน มีคะแนนรวมทั้งหมด 42 คะแนน นอกจากนี้ ยังจะมีการคิดอีก 3 คะแนน จากการทำกิจกรรมเพิ่มเติมในหลักสูตร ทำให้มีคะแนนรวมทั้งหมด 45 คะแนน โดยนักเรียนต้องได้คะแนนไม่ต่ำกว่า 24 คะแนน จึงจะถือว่าสอบผ่าน ซึ่งวิชาใน 6 กลุ่ม มีดังนี้
- Studies in language and literature (Language A)
- Language acquisition (Language B) เช่น French, Spain และ German
- Individuals and Societies เช่น Philosophy, Economics และ Business and management
- Sciences เช่น Physics, Chemistry และ Biology
- Mathematics เช่น Mathematics (SL, HL) และ Further Mathematics
- The Arts เช่น Visual arts, Film, Music, Dance และ Theatre
ทั้งนี้ อีก 3 คะแนนที่เหลือจะมาจากการทำกิจกรรมต่อไปนี้
- Theory of Knowledge (ToK) เป็นการคิดวิเคราะห์เชิงวิพากษ์เกี่ยวกับมนุษย์และสังคม วัฒนธรรมของตนเองและโลกผ่านการเขียน Essay ประมาณ 1,200-1,600 คำ
- Creativity, Action, Service (CAS) เป็นการทำโครงงานกิจกรรมนอกโรงเรียน โดยเน้นกิจกรรมที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ จิตอาสา และกิจกรรมเพื่อสังคมต่าง ๆ
- Extended Essay (EE) เป็นการเขียน Essay ในหัวข้อที่สนใจประมาณ 4,000 คำ
การสอบ A-Level
ในส่วนการสอบของหลักสูตร A-Level มีวิชาให้เลือกสอบจาก 6 กลุ่มวิชา โดยให้เลือกเพียง 3-4 วิชา ซึ่งมีรายวิชา คือ
- Creative and professional เช่น Accounting, Business
- English language and literature เช่น English-Literature
- Humanities and social science เช่น Economics, Geography
- Languages เช่น Chinese, German และ French
- Mathematics ได้แก่ Mathematics และ Mathematics-Further
- Sciences เช่น Biology, Chemistry และ Physics
ผลการสอบ A Level มี 5 ระดับ คือ A-E โดยผู้สอบต้องได้ผลการสอบในระดับ C ขึ้นไป จึงจะถือว่าเป็นการสอบผ่าน
เมื่อสอบผ่านการสอบในทั้ง 2 ช่วงได้แล้ว ก็จะสามารถสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมหาวิทยาลัยต่อไป
ระบบการศึกษาอเมริกา
ในด้านของระบบการศึกษาอเมริกา เมื่อนักเรียนเรียนถึงระดับ High School (Grades 9-12) จำเป็นต้องเลือกเรียนและสอบใน 3 หลักสูตร คือ GED, IB Diploma และ Advanced Placement (AP) ซึ่งมีรายละเอียดของแต่ละแบบ ดังนี้
การสอบ GED
GED หรือ General Educational Development เป็นการสอบเทียบวุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของนักเรียนที่เรียนในระบบการศึกษานอกโรงเรียนหรือระบบการศึกษาอเมริกา โดยจะต้องสอบทั้งหมด 4 วิชา คือ
- Reasoning Through Language Arts (RLA)
- Social Studies
- Mathematical Reasoning
- Science
ทั้ง 4 วิชาจะมีคะแนนเต็มวิชาละ 200 คะแนน โดยต้องสอบให้ได้คะแนนวิชาละ 145 คะแนนขึ้นไป จึงจะถือว่าสอบผ่านและได้วุฒิ GED
การสอบ IB Diploma Programme
ส่วนการสอบ IB Diploma Programme ของระบบการศึกษาอเมริกา มีจำนวนวิชาที่ใช้สอบ และหลักเกณฑ์ในการสอบผ่านเหมือนระบบการศึกษาอังกฤษ
การสอบ Advanced Placement (AP)
AP (Advanced Placement) เป็นการสอบเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้ามหาวิทยาลัยของผู้ที่เรียนในระบบการศึกษาอเมริกา โดยวิชาในการสอบจะแบ่งออกเป็น 6 หมวด รวมแล้ว 37 รายวิชา ซึ่งหมวดวิชาที่สอบจะประกอบไปด้วย
- Arts เช่น Art History, Music Theory
- English เช่น English Language and Composition, English Literature and Composition
- History and Social Sciences เช่น European History, Microeconomics, Psychology
- Math and Computer Science เช่น Calculus AB, Calculus BC, Computer Science A
- Sciences เช่น Biology, Chemistry, Physics 1: Algebra-Based
- World Languages and Cultures เช่น Chinese Language and Culture
ในการสอบ AP นั้น ผลการสอบจะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 5, 4, 3, 2 และ 1 (5 = ดีที่สุด) ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนมากจะยอมรับผลคะแนนที่ 4 และ 5 คะแนน แต่ก็มีบางมหาวิทยาลัยที่รับคะแนนในระดับที่ 3 ด้วยเช่นกัน
และทั้งหมดนี้คงจะทำให้คุณพ่อคุณแม่และน้อง ๆ เข้าใจถึงความแตกต่างของระบบการศึกษาอังกฤษและระบบการศึกษาอเมริกากันมากขึ้น และสำหรับน้อง ๆ ที่กำลังมองหาที่ปรึกษาด้านวางแผนเรียนหลักสูตรนานาชาติ ที่ Up Grade Class มีครูผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์พร้อมให้คำแนะนำ เพื่อให้น้อง ๆ สามารถพิชิตมหาวิทยาลัยในฝันได้ดังใจ